มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แจงขอทุน สสส. โปร่งใส-ไม่ทับซ้อน
[post_ad]
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงยืนยันไม่มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนในการขอทุนกับกองทุน สสส. พร้อมโต้แย้ง กรรมการมูลนิธิ ฯ ไม่ได้เป็นผู้ร่วมพิจารณาโครงการ และไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ตามที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินให้ข้อมูล
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2558 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงว่า ตามที่สำนักข่าวไทยพลับบลิก้า ได้รายงานเมื่อวานนี้ (26 ตุลาคม) เรื่องการตรวจสอบการดำเนินงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยอ้างรายงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และได้ระบุชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิซึ่งเป็นผู้รับเงินจาก สสส. โดยมีการพาดพิงถึงกรรมการของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
ทั้งนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ขอชี้แจงว่า นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ และนายชัยรัตน์ แสงอรุณ เป็นกรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจริง แต่โครงการทั้ง 8 โครงการของมูลนิธิ ฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสสส. กรรมการทั้ง 2 ท่าน ไม่เคยเป็นผู้พิจารณาโครงการของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแต่อย่างใด รวมทั้งมูลนิธิ ฯ ไม่เคยขอรับการสนับสนุนจากแผนงานที่นายวีรพงษ์เป็นกรรมการแผน และในปัจจุบันนายวีรพงษ์ ก็ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารแผนงานของ สสส. แล้ว ส่วนนายชัยรัตน์ เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหารแผนงานของสำนัก 2 ชุดปัจจุบัน ภายหลังจากที่มูลนิธิได้รับงบประมาณในการดำเนินการไปแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557
ดังนั้นการเสนอรายงานดังกล่าวโดยไม่มีการสอบถาม ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ากรรมการทั้ง 2 ท่าน มีประโยชน์ทับซ้อนกับมูลนิธิฯ จึงเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีข้อเท็จจริงและเหตุผลที่เพียงพอ จึงอาจเข้าข่ายเป็นการกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมกับมูลนิธิฯ และกรรมการทั้ง 2 ท่าน
การจัดทำโครงการทั้งหมด ดำเนินการโดยสำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค รวมทั้งการพิจารณาโครงการเป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนที่กำหนดโดยสสส. ทั้งหมด และไม่ได้มีสิทธิพิเศษใดๆ ในการพิจาณาโครงการ หรือรับเงินอุดหนุน ไม่แตกต่างจากสี่หมื่นโครงการอื่นๆ ที่ขอรับเงินสนับสนุนจากสสส.
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชี้แจงว่า ได้รับเงินสนับสนุนงบประมาณจาก สสส. ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550-2557 จำนวน 8 โครงการ เป็นจำนวนเงิน 147 ล้านบาทจริง โดยงบประมาณที่ได้รับเป็นงบประมาณของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคทั่วประเทศ โดยงบประมาณในการดำเนินการมีการแบ่งกิจกรรมและการดำเนินงานที่ชัดเจน และมีสัดส่วนงบประมาณระหว่างมูลนิธิ และเครือข่ายในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน และสามารถตรวจสอบรายงานผู้ตรวจสอบบัญชี และรายงานกิจกรรมของมูลนิธิประจำปี ได้เนื่องจากมูลนิธิเสนอต่อกระทรวงการคลังและสำนักงานปกครองจังหวัดนนทบุรี เป็นประจำทุกปี
ในการนี้ นางสุภาพร ถิ่นวัฒนากูล มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา ภาคเหนือ, นายปฏิวัฒน์ เฉลิมชาติ สมาคมผู้บริโภคขอนแก่น ภาคอีสานตอนบน และนางอาภรณ์ อะทาโส สมาคมผู้บริโภค ร้อยเอ็ด ภาคอีสานตอนล่าง, นายพงษ์พัฒน์ หงส์สุขสวัสดิ์ สมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตก, นางสาวจุฑา สังขชาติ สมาคมผู้บริโภคสงขลา ภาคใต้ นางสาวชลดา บุญเกษม เครือข่ายผู้บริโภคภาคกลาง, นางสุภาวดี ใจกว้าง เครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันออก ชี้แจงด้วยว่า ได้รับงบประมาณสนับสนุน จากสสส. ผ่านมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยเป็นการจัดทำโครงการร่วมกัน นำเสนอ และชี้แจงโครงการร่วมกัน
ที่ผ่านมา การทำโครงการร่วมกันได้ทำให้เกิดความเข้มแข็งของกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน และเกิดองค์กรผู้บริโภคในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ใน 72 จังหวัด ทำให้มีโอกาสเผยแพร่ข้อมูล ให้ความรู้ คำแนะนำเรื่องงานคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งให้การช่วยเหลือผู้บริโภคให้ได้รับสิทธิอันพึงมีพึงได้ในฐานะผู้บริโภค
ผลจากการดำเนินงาน ทำให้เกิดกลไกและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศในการปฏิบัติการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน สามารถยกระดับองค์กรผู้บริโภคจากการทำงานเฉพาะด้านให้พัฒนาเป็นศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคระดับจังหวัดจำนวน 44 จังหวัด และสามารถจดทะเบียนเป็นองค์กรนิติบุคคลด้านการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เช่น สมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตก, สมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค จังหวัดสมุทรสงคราม, สมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, สมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค สระบุรี, สมาคมคุ้มครองผู้บริโภค ร้อยเอ็ด, สุรินทร์ เกิดความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ในการจัดทำแผนคุ้มครองผู้บริโภคระดับจังหวัดใน 72 จังหวัด ซึ่งใช้เป็นเข็มทิศในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในระดับจังหวัด ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคหลายจังหวัดเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วประเทศ
บทบาทในการให้การช่วยเหลือผู้บริโภค เฉพาะมูลนิธิ ฯ ได้ให้การช่วยเหลือผู้บริโภค นับตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2558 มีมากถึง 10,834 ราย ส่วนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ มีการให้ความช่วยเหลือผู้บริโภคจำนวนมากถึง 3,802 เรื่อง ในปี 2556 จำนวน2,706 เรื่องในปี 2557 จำนวน 2,513 เรื่อง ในปี 2558 รวมทั้งการสนับสนุนการฟ้องคดีของผู้บริโภคมากกว่า 600 คดี และคดีสาธารณะที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากกว่า 10 คดี ไม่ว่าจะเป็นการแปรูปกฟผ. ปตท. การขึ้นราคาค่าผ่านทางดอนเมืองโทลเวย์ การอนุญาตอาคารสูง 22 ชั้นของกรุงเทพมหานครในซอยร่วมฤดีที่ความกว้างถนนไม่ถึง 10 เมตร กรณีจอดำฟุตบอลยูโร จนทำให้เกิดประกาศการให้บริการโทรทัศน์เป็นการทั่วไป(Must carry) ทำให้รัฐประหยัดงบประมาณ 7,000 ล้านบาทในการแจกคูปองดิจิตอล ชนะคดีถูกยึดเงินเมื่อบัตรเติมเงินหมดอายุ ฯลฯ เป็นต้น
มูลนิธิ ฯ ขอเรียนว่า การสนับสนุนองค์กรผู้บริโภค เป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐหลายประเทศให้ความสำคัญ เช่น สมาคมผู้บริโภคสิงคโปร์ (CASE) ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลประมาณ 175 ล้านบาทต่อปี และสมาคมผู้บริโภคสิงคโปร์ ยังสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการให้บริการจากผู้ประกอบการเมื่อมีการเจรจาไกล่เกลี่ยให้ผู้บริโภคตั้งแต่ 1,100 - 10,000 บาทต่อครั้งจากผู้ประกอบธุรกิจ หรือรัฐบาลฮ่องกงให้การสนับสนุน สภาผู้บริโภคฮ่องกง (Hong Kong Consumer Council) จำนวนไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปีในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภค
จึงเรียนชี้แจงประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน และการทำงานขององค์กรผู้บริโภค เพื่อทำความใจต่อสาธารณะ มา ณ โอกาสนี้ และหวังว่า สังคมไทยจะให้สำคัญกับความเข้มแข็งของผู้บริโภค เพราะกลไกรัฐที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ การมีองค์กรผู้บริโภค ภาคประชาสังคมทำเพื่อประโยชน์สังคม จะช่วยลดความเสียหายให้กับประชาชนจำนวนมหาศาล
(source)
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แจงขอทุน สสส. โปร่งใส-ไม่ทับซ้อน
Reviewed by sovanndy
on
8:05 AM
Rating:

No comments: