เปิดเรื่องราวสุดประทับใจ ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย น้ำใจเพียงเล็กน้อยแต่กลับเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ ที่ตราตรึงในใจผู้รับไม่ลืมเลือน
สำหรับใครบางคน การหยิบยื่นน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นอาจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก แต่ใครเลยจะรู้ว่าน้ำใจเพียงเล็กน้อยที่เรามอบให้ไปนั้น อาจเปลี่ยนชีวิตของใครบางคนไปอย่างสิ้นเชิง ดังเช่นเรื่องเล่าสุดประทับใจจากต่างแดน ที่เว็บไซต์ zh.buzzhand.com ได้ขอหยิบยกมาเล่าซ้ำอีกครั้ง โดยเป็นเรื่องของคู่สามีภรรยาเจ้าของร้านอาหาร ซึ่งได้มอบข้าวถ้วยหนึ่งให้แก่เด็กหนุ่มโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ มันเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ทั้งคู่อาจลืมเลือนไปแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าน้ำใจที่ได้รับนี้กลับซึมซาบลงในใจของเด็กหนุ่ม ที่เฝ้ารอวันจะได้ตอบแทนน้ำใจที่ได้รับ
สำหรับเรื่องราวดังกล่าวมีดังนี้....
ในค่ำวันหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน บนท้องถนนในกรุงไทเป ประเทศไต้หวัน มีเด็กหนุ่มที่ลักษณะคล้ายนักศึกษาคนหนึ่งกำลังยืนลังเลอยู่หน้าร้านอาหารบุฟเฟต์ เขารอจนลูกค้าส่วนมากออกไปจากร้านแล้วจึงเดินเข้ามาหาเจ้าของร้าน ก่อนพูดเบา ๆ ว่า "ผมขอข้าวเปล่าถ้วยนึงครับ"
แม้เจ้าของร้านจะรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มไม่สั่งกับข้าว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไร หันไปคดข้าวถ้วยหนึ่งยื่นให้แก่เขา เด็กหนุ่มจ่ายเงินให้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอาย ๆ ว่า "ช่วยราดน้ำซุปให้ผมด้วยได้ไหมครับ" เจ้าของร้านจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ตามสบาย ไม่ต้องจ่ายเพิ่มนะ"
เด็กหนุ่มรับข้าวมาทานไปได้ครึ่งถ้วยก็สั่งข้าวเพิ่มอีก เจ้าของร้านจึงพูดอย่างใส่ใจว่า "ไม่อิ่มใช่ไหม เดี๋ยวถ้วยนี้ผมตักข้าวเพิ่มให้อีกนะ" แต่เด็กหนุ่มกลับปฏิเสธ พลางบอกว่าเขาจะเอาข้าวใส่กล่อง เพื่อนำไปทานเป็นมื้อกลางวันที่มหาวิทยาลัยในวันรุ่งขึ้น
เจ้าของร้านได้ฟังก็นึกรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงมีฐานะยากจน คงเข้ามาเรียนในเมืองตามลำพังโดยทำงานหาเลี้ยงตัวเองไปในเวลาเดียวกัน เจ้าของร้านจึงตัดสินใจตักโร่วจ้าว (ซอสราดข้าว) ใส่ไว้ด้านล่างกล่องพร้อมกับไข่ตุ๋นชา ก่อนจะตักข้าวมาโปะไว้ด้านบนจนดูเผิน ๆ ราวกับนี่เป็นกล่องข้าวเปล่าเท่านั้น
ฝ่ายภรรยาเจ้าของร้านได้เห็นก็ทราบได้ว่าสามีอยากช่วยเหลือเด็กหนุ่ม แต่เธอยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องซ่อนกับข้าวไว้ด้านใต้ สามีจึงได้กระซิบบอกภรรยาว่า "หากเด็กคนนี้เห็นว่าเราตักโร่วจ้าวให้ เขาอาจคิดว่าเราทำทานแก่เขา ดูเหมือนหยามศักดิ์ศรีเขา ครั้งหน้าเขาก็คงไม่กล้ามาทานที่ร้านของเราอีก ทานแต่ข้าวเปล่าจะไปมีแรงเรียนหนังสือได้อย่างไรกัน"
เมื่อภรรยาได้ฟังก็เข้าใจและนึกเห็นด้วย จึงได้ชมสามีว่าเขาช่างเป็นคนดีจริง ๆ ขณะที่ฝ่ายสามีก็หยอกกลับอย่างสุขใจว่า "ถ้าผมไม่ใช่คนดี คุณจะแต่งงานกับผมไหมล่ะ"
จากนั้นเด็กหนุ่มก็จากร้านไปพร้อมกับกล่องข้าวในมือ และนับจากนั้นเกือบทุกวันเด็กหนุ่มก็จะกลับมาที่ร้านแห่งนี้เพื่อสั่งข้าวเปล่า 1 ถ้วย และข้าวเปล่าใส่กล่อง ซึ่งแน่นอนว่าด้านใต้ข้าวกล่องนั้นยังคงมีกับข้าวที่ถูกใส่ไว้เพิ่มด้วยน้ำใจของเจ้าของร้าน กระทั่งเด็กหนุ่มเรียนจบ เขาก็ไม่ได้กลับมาที่ร้านแห่งนี้อีกเลยเป็นเวลาร่วม 20 ปี
ในเวลาต่อมา อยู่ ๆ เจ้าของร้านในวัยเกือบ 50 ปีก็ได้รับจดหมายแจ้งว่าทางการจะเวนคืนที่ร้านของเขา เขาได้แต่ทุกข์ใจถึงหนทางในวันข้างหน้า ด้วยเงินทองที่มีคงไม่อาจหาซื้อบ้านในทำเลที่ดีเช่นนี้ ไหนจะค่าเทอมส่งเสียลูกที่กำลังเรียนอยู่อีก ทำให้พวกเขาได้แต่ร้องไห้อย่างไร้หนทาง
แต่แล้ว ชายคนหนึ่งที่แต่งกายภูมิฐานก็ปรากฏตัวที่บ้านของทั้งคู่ เขาแนะนำตัวเองต่อคู่สามีภรรยาว่าตนเป็นรองผู้จัดการบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้จัดการใหญ่ของเขาต้องการเชิญทั้งคู่ไปทำร้านอาหารบุฟเฟต์ในอาคารสำนักงานแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิด โดยให้พวกเขาดูแลด้านการบริหารและจัดหาพ่อครัว ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นทางบริษัทจะเป็นผู้จัดหาให้ โดยแบ่งกำไรกันคนละครึ่งหนึ่ง
คู่สามีภรรยาได้แต่ถามอย่างประหลาดใจ ว่าผู้จัดการใหญ่ของชายคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดถึงได้ดีกับพวกเขาขนาดนี้ โดยไม่คาดว่าคำตอบที่ได้รับก็คือ... "พวกคุณเป็นผู้มีพระคุณของผู้จัดการใหญ่ของเรา ท่านบอกว่าชอบทานโร่วจ้าวและไข่ตุ๋นชาของร้านคุณมาก ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ คุณจะได้ทราบเมื่อพบกับท่าน"
เมื่อเดินทางไปถึงบริษัท คู่สามีภรรยาจึงได้ทราบในที่สุดว่าที่แท้แล้ว ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทนี้ก็คือลูกค้าประจำที่เคยมาทานข้าวเปล่าในอดีตนั่นเอง หลังจบจากมหาวิทยาลัยเด็กหนุ่มก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจนสามารถเปิดบริษัทได้ และยังคงสำนึกในบุญคุญของทั้งคู่เรื่อยมา หากไม่มีคู่สามีภรรยาในวันวาน ก็อาจไม่มีเขาในวันนี้
เรื่องราวแต่หนหลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาสนทนากันอีกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะและน้ำตา จนเมื่อถึงเวลาที่คู่สามีภรรยาจะกลับแล้ว ชายหนุ่มก็ยืนขึ้นและโค้งคำนับให้ พร้องกล่าวว่า "สู้ ๆ นะครับ ต่อไปนี้บริษัทของเราต้องพึ่งพาคุณแล้วนะ แล้วพบกันในวันพรุ่งนี้"
(
source)
Post Comment