คาด 1- 2 เดือนข้างหน้าเจอวิกฤติขาดน้ำสาหัสแน่

[post_ad]

"สมิทธ"จวกกรมชลประทานแก้ปัญหาน้ำแบบรายวัน ชี้วิกฤติขาดน้ำใช้เกิดแน่ใน 1- 2 เดือน แนะรัฐบาลเจรจาเมียนมาผันน้ำจากแม่น้ำสาละวิน-โขงมาใช้

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาและทั่วประเทศ ว่า เป็นผลจากปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่ที่มีน้อยสุดในรอบ 30 กว่าปี หากรัฐบาลยังไม่มีแนวทางชัดเจนในการควบคุมการใช้น้ำในช่วง 1-2 เดือนนี้ จะเกิดวิฤกติน้ำของจริง ขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้อย่างแน่นอน เพราะขณะนี้ชาวนาเริ่มลงมือปลูกข้าวนาปรังกันมากในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา 22 จังหวัด นับล้านไร่ ซึ่งมาจากรัฐบาลไม่พูดให้ชัดเจนเด็ดขาดว่าไม่ให้น้ำทำนา และหากเกิดความเสียหายจากภัยแล้งก็จะไม่จ่ายชดเชยให้ทุกกรณี รวมทั้งภาคส่วนอื่นๆในปัจจุบันนี้มีการใช้น้ำมากขึ้นถึง 3 เท่าตัว ต้องมีมาตรการออกมาควบคุมการใช้น้ำอย่างจำกัดด้วย โดยกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่ทำข้อมูลที่ชัดเจนเสนอนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากร น้ำแห่งชาติ ได้รับรู้สภาพปัญหาแท้จริงของสถานการณ์น้ำ เพื่อแจ้งเตือนประชาชนและเกษตรกรให้ทราบอย่างชัดเจนถึงวิฤกติน้ำครั้งนี้และ มีมาตรการเตรียมแก้ไขสำหรับวิกฤติในอนาคต ไม่ใช่ตั้งวอร์รูมแก้ไขกันเป็นรายวัน ซึ่งไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เนื่องจากไม่มีแผนงานให้ชัดเจนว่าจะผันน้ำจากที่ไหนมาใช้ได้เมื่อถึงเวลาฉุก เฉิน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกคนต้องประหยัดน้ำให้มาก
"นายกฯไม่รู้สถานการณ์น้ำจริง เพราะฟังแต่พวกจบด็อกเตอร์นั่งกันเป็นแถวในคณะกรรมการน้ำ ถนัดคำนวณในแบบจำลองทางวิชาการ มาเสนอนายกฯว่าปริมาณน้ำในเขื่อนพอ ตรงข้ามสภาพปัญหาจริง ซี่งเกิดความต้องเสียหายขึ้นมา พวกนี้ก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไร ทำให้รัฐบาลไม่พูดเด็ดขาด สถานการณ์น้ำหนักขนาดนี้ต้องพูดให้ชาวนารู้ตัว ซึ่งจะกระตุกให้เกษตรกรเกิดความระมัดระวังได้เอง แต่ถ้าภาครัฐพูดไม่แน่นอน ใช้คำว่าชี้แจงให้เข้าใจสถานการณ์น้ำ ให้ได้จำนวนครัวเรือนเพื่อมาเสนอรัฐบาลของบช่วยเหลือ ชาวนาฟังก็เข้าใจว่าปลูกไปได้เรื่อยๆเพราะคิดว่าเมื่อได้รับความเสียหาย รัฐบาลก็ต้องมาช่วย"นายสมิทธ กล่าว
นายสมิทธ กล่าวอีกว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก มีรวมกันแค่ 4,000 กว่าล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ไม่พอใช้จนหมดฤดูแล้ง ซึ่งมีเวลาหลายเดือน ในเดือน ม.ค.2559 หากไม่หาน้ำมาเติมเขื่อนก็จะไม่สามารถปล่อยน้ำออกมาได้ เพราะเหลือระดับก้นเขื่อนที่อยู่ต่ำกว่าปากท่อระบายน้ำออก โดยน้ำในเขื่อนจะหมดช่วงเดือน ธ.ค.2558 -ม.ค.2559 ส่งผลให้เกิดวิกฤติน้ำไม่พอใช้อย่างชัดเจน เนื่องจากช่วงต้นปี น้ำก็หมดแล้ว ทำให้จะต้องผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ แต่ก็ได้ไม่มาก มิฉะนั้นประชาชนในพื้นที่นั้นจะได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นรัฐบาลต้องทำทันทีด้วยการไปเจรจากับประเทศเมียนมาเพื่อเตรียมการผัน น้ำจากแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำโขง จากนั้นในช่วงฤดูฝนต่อไปก็ต้องขุดท่อหรือขุดแม่น้ำเล็กๆเพื่อให้มีน้ำมาใส่ เขื่อนภูมิพล อีกทั้งช่วงแม่น้ำโขงล้นตลิ่ง ในพื้นที่ จ.หนองคาย นครพนม และเชียงราย ขุดคลองเข้ามาไว้ในแก้มลิงหรือสระขนาดใหญ่ไว้รองรับ ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่มาก เพราะแรงน้ำมาตามแรงโน้มถ่วงโลก โดยจะเห็นว่าประเทศลาวและเวียดนามในตอนนี้ไม่มีความเดือดร้อน เพราะเขานำแม่น้ำโขงมาใช้ในประเทศและสร้างพลังงานไฟฟ้าด้วย.



(source)